• สีสันแห่งมิยางิ ประเทศญี่ปุ่น

    วันนี้เปรี้ยวปากขอพาทุกคนบินลัดฟ้ามาสัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่นกัน เริ่มทริปกันที่ "จังหวัดมิยางิ" แหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโทโฮคุซึ่งเต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติและอาณาจักรแห่งวัตถุดิบที่มีซีฟู้ดเน้นๆเริ่มออกเดินทางมากันที่ "น้ำตกอะคิว (Akiu Otaki)" ซึ่งมีความสูงถึง 55 เมตร เป็น 1 ใน 3 ของน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นหากมาในช่วง ปลายเดือนตุลาคม จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน จะอยู่ในช่วงของฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้บริเวณรอบๆ น้ำตกจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดง สวยงามสุดๆสำหรับการเดินทางมาน้ำตกอะคิว นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟเซนไดใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็จะได้มาสัมผัสความสวยงามของน้ำตกแบบนี้เดินทางจากน้ำตกอะคิวมาเพียง 15 นาที ก็จะเจอจุดชมวิวสวยๆ อย่าง "สะพานโนโซกิบาชิ (Nozoki - Bashi Bridge)" อยู่ในหุบเขาไรไรเคียว (Rairaikyo Gorge) ทางทิศใต้ของเซนได ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดมิยางิ มีชื่อเสียงในด้านเกษตรและการประมงจุดไฮไลท์ในบริเวณสะพานโนโซกิบาชิก็คือ "แอ่งน้ำรูปหัวใจ (Nozokibashi Hear)" ที่มีความเชื่อว่าถ้ามากับคนรักแล้วมาขอพรจะทำให้รักแฮปปี้ เอนดิ้ง และเป็นจุดไฮไลท์ในการขอแต่งงานด้วยและบริเวณด้านหลังแอ่งน้ำรูปหัวใจยังมีลักษณะคล้ายๆ กับแกรนด์แคนยอนที่เป็นหิน เป็นธารน้ำสวยๆอีกหนึ่งสีสันของเมืองมิยางิก็คือการมาที่ "หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village)" ซึ่งที่นี่จะปล่อยให้เหล่าสุนัขจิ้งจอกอยู่ท่ามกลางธรรมชาติป่าไม้ เห็นสุนัขจิ้งจอกน่ารักแบบนี้ที่นี่จึงติดโพลในรีวิวเยอะแยะมากมาย ดังนั้นใครมาที่มิยางิต้องห้ามพลาดแวะมาเล่นกับน้องๆ สุนัขจิ้งจอก มีค่าเข้าชมคนละ 1,000 เยนอีกกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดถ้ามาที่หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอกคือ การได้อุ้มเหล่าสุนัขจิ้งจอก ซึ่งจะมีเวลาอุ้ม 5 นาที ในราคา 600 เยนช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม เป็นฤดูกาลที่เหมาะในการชมสุนัขจิ้งจอก เพราะขนของสุนัขจิ้งจอกจะฟูปุกปุยและสวยงาม"หมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก (Zao Fox Village)" อยู่ในเมืองซาโอะ จังหวัดมิยางิ สำหรับการเดินทางมายังหมู่บ้านสุนัขจิ้งจอก นั่งรถบัสจากสถานีชิโรอิชิไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก็ถึงที่หมายได้มาใกล้ชิดกับน้องๆ สุนัขจิ้งจอกแบบฟินๆเมื่อมาถึงจังหวัดมิยางิจะได้เห็นสีสัน ความคึกคักของซีฟู้ดสดๆ จากอ่าวชิโอกามะ จากฝั่งทะเลมิยางิ โดยเฉพาะหอยนางรมและปลามากุโร่ เปรี้ยวปากจึงขอพาทุกคนมาที่ "ตลาดปลาชิโอกามะ (Shiogama Seafood Wholesale Market)" ศูนย์กลางค้าปลาที่คึกคักในโทโฮคุ มีทั้งร้านอาหารและของทะเลสดๆที่จังหวัดมิยางิ มีอ่าวใหญ่ๆ อยู่ 2 อ่าว คือ อ่าวชิโอกามะ และอ่าวมัตซึชิมะ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนแห่งซีฟู้ดเลยเห็นซีฟู้ดสดๆ ละลานตาขนาดนี้ เดินทางมาจากสถานีชิโอกามะเพียง 15 นาทีก็ถึงตลาดปลาชิโอกามะแล้ว สามารถมาเดินเลือกปลาสดๆ กันได้แบบฟินๆ เลยละ

  • หลงเสน่ห์ อะคิตะ เมืองซามูไร

    เปรี้ยวปากจะพาทุกคนไปสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวัฒนธรรมและความหลากหลายทางธรรมชาติในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ "เมืองอะคิตะ" ภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะฮอนชู และถือว่าเป็นอัญมณีเม็ดงามแห่งโทโฮคุ การเดินทางมาจังหวัดอะคิตะ จากโตเกียวและเซนได นั่งรถไฟชินคันเซ็นสายอะคิตะ(Akita Shinkansen) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเมื่อมาถึงจังหวัดอะคิตะเช็คลิสต์แรกที่ต้องมาเลยก็คือ "หมู่บ้านซามูไร (Kakunodate)"  หมู่บ้านเก่าแก่อายุเกือบ 400 ปี ที่ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนของเหล่าซามูไรในอดีตเอาไว้ และได้รับฉายาว่าเป็น "Little Kyoto"ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี หมู่บ้านซามูไร (Kakunodate) ถือเป็นจุดชมซากุระที่ได้รับความนิยมที่สุดในโทโฮคุหากใครสนใจนั่งรถลากชมหมู่บ้านซามูไรก็มีบริการอีกด้วย ค่าบริการรถลากเที่ยวชมหมู่บ้าน 15 นาที 3,000 เยน / 30 นาที 5,000 เยน / 60 นาที 9,000 เยน หรือสนใจเช่าชุดกิโมโนเดินเล่นรอบหมู่บ้านก็ ราคาคนละ 4,400 เยน สามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 - 17.00 น."เรือนหลังใหญ่ของตระกูลอาโอยากิ(Aoyagi Samurai Manor Museum)" เป็นหนึ่งในหกบ้านซามูไรที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ซึ่งเรือนของตระกูลอาโอยากิหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1860ตระกูลอาโอยากิมีบทบาทสำคัญทางด้านการทหารของเมืองคาคุโนดาเตะมากจนเจ้าเมืองอนุญาตให้ตระกูลนี้สร้างซุ้มประตูเพื่อเป็นรางวัลแสดงถึงความสามารถของตระกูลเรือนหลังใหญ่ของตระกูลอาโอยากิถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวิถีชีวิตของชาวซามูไรในยุครุ่งเรืองผ่านข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า เสื้อเกราะซามูไร อาวุธต่างๆ ภายนบ้านจะแบ่งออกเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ร้านขายของ ห้องจิบชา และสวนสวยๆ เดินเที่ยวกันจนเหนื่องต้องแวะมาหาอะไรทานกันสักหน่อยมาถึงอะคิตะทั้งทีต้องลองมาทานอุด้งที่ร้าน "Inaniwa Koraido Aoyanagike" เป็นร้านที่ติด 1 ใน 3 ของเส้นอุด้ง ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งร้านนี้ก็อยู่ในบ้านอาโอยากินั่นเองInaniwa Tempura Udon Noodle อุด้งร้อนInaniwa Tempura Udon Noodle อูด้งแบบเย็น ซึ่งตัวเส้นอูด้งจะมีสีชมพูนิดๆ เพราะผสมผงซากุระลงไปด้วยเส้นอุด้งของที่นี่จะมีลักษณะแบนและเล็กกว่าปกติแต่มีความหนึบซึ่งเป็นเส้นอุด้งสไตล์อะคิตะไฮไลท์ของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของจังหวัดอะคิตะที่ต้องห้ามพลาดเลยก็คือ การนั่งรถไฟท่องเที่ยวชมวิวธรรมชาติสองข้างทาง เริ่มจากสถานีคะคุโนะดาเตะโดยนั่งรถไฟสายอะคิตะ นาอิริกุ เป็นเวลา 2 ชั่วโมง เต็มบนรถไฟที่จะได้เห็นความสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีมาขึ้นกระเช้ากันต่อที่ "ภูเขาโมริโยชิ (Mt. Moriyoshi)" ภูเขาไฟที่สูงที่สุดในจังหวัดอะคิตะ ซึ่งสามารถเห็นความสสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้แบบ 360 องศา ในระดับความสูงจากพื้นดิน 1,454 เมตร นั่งชมวิวในกระเช้าแบบเพลินๆ ยาวไปถึง 20 นาทีเลย ค่าขึ้นกระเช้าเพียงคนละ 1,800 เยน ก็ได้เพลิดเพลินอย่างเต็มที่กับวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่มองเห็นทั่วภูเขาสามารถชมความสวยงามของยอดเขาโมริโยชิได้ 2 ฤดู คือ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และ ฤดูหนาว ที่นี่จะกลายเป็นลานสกีและชมความงามของ Snow Monsterมาถึงอะคิตะต้องอย่าลืมไปทักทายเจ้าถิ่นอย่าง "สุนัขพันธุ์อะคิตะ" ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ เรียกว่าเป็นพระเอกกันเลยทีเดียว ไม่ว่านักท่องเที่ยวคนไหนก็ต้องแวะถ่ายรูปกับความน่ารักของเจ้าสุนัขพันธุ์อะคิตะอีกหนึ่งแลนด์มาร์คห้ามพลาดของอะคิตะคือ "ทะเลสาบทาซาวะ (Lake Tazawa)" ทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น ที่นี่ยังมีกิจกรรมพายเรือคายัคให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ชมความงามรอบๆ ทะเลสาบ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการพายเรือคายัค คือช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ทะเลสาบทาซาวะมีความลึกถึง 432.4 เมตร จึงเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น และด้วยความลึกนี้ทำให้ฤดูหนาวทะเลสาบจึงไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง นอกจากนี้มีเรื่องเล่าขานกันว่าใครที่ได้มาดื่มน้ำในทะเลสาบ 3 อึก จะมีความงามที่เป็นอมตะ แต่ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อ "ทัตสึโกะ" ดื่มไปมากกว่า 3 อึก เทพเจ้าแห่งทะเลสาบโกรธมาก สาปให้เธอกลายเป็นมังกรเฝ้าทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งตำนานนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ "ยาสึตาเกะ ฟูนาโคชิ" หล่อรูปปั้นของหญิงสาวขึ้นมา กลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ ในบริเวณนี้มีศาลเจ้าที่ยื่นออกไปในทะเลสาบให้มาขอพรกันอีกด้วย นั่นก็คือ "ศาลเจ้าอุคิกิ (Ukiki Shrine)" ศาลเจ้านิกายชินโตซึ่งคนนิยมมาขอพรเรื่องความสวยความงามกัน

  • เที่ยว ยามากาตะ เมืองคลาสสิก

    เปรี้ยวปากพาบินลัดฟ้ามาภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น วันนี้ขอพาทุกคนมาปักหมุดเที่ยวที่ จังหวัดยามากาตะ จังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องของเชอร์รี่, แหล่งน้ำพุร้อน, และเสน่ห์ความเป็นชนบท ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีสวยราวกับภาพวาด “น้ำตกเซคิยามะ (Sekiyama Otaki)” อยู่ในเมืองฮิกาชินะ หลังจุด Drive in ใกล้กับอุโมงค์เซกิกายะทางหลวงหมายเลข 48 ทางเข้าจะมีร้านอาหารท้องถิ่นด้วย หลังจากเที่ยวน้ำตกก็มาทานอาหารกันที่ร้าน “Otaki Drive-in Izumiya” ที่นี่จะเป็นอาหารเซ็ททานง่าย มีทั้งโอเด้งและขนมดังโงะด้วย อาหารเซ็ทขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็คือ “เซ็ทโอตาคิ วาเตะโชคุ” ซึ่งไฮไลท์ของเซ็ทนี้ก็คือ ปลาอิวานะย่าง ปลาขึ้นชื่อของยามากาตะ ในเซ็ทจะมีทั้งเทมปุระ, ซุป, และเครื่องเคียงผักดองต่างๆ ส่วนขนมที่เป็นดังโงะจะมีเป็น "ถั่วซึนดะ" ซึ่งจะคล้ายๆ กับถั่วแระ แล้วก็จะมีงาดำและวอลนัท ทานอาหารคาวกันจนอิ่มขอมาแวะซื้อขนมปังไปนั่งทานชิลๆ กันที่สวนสาธารณะ Kajo ซึ่งร้านที่เปรี้ยวปากจะพามาก็คือ "ร้าน CYBELE" ที่มีทั้งขนมปังปกติและขนมปังตามฤดูกาล เช่น ฤดูใบไม้ร่วงจะมีขนมปังเกาลัด เป็นต้น ช้อปขนมปังกันจนพอแล้วมาปิคนิคกันต่อที่ "สวนสาธารณะ Kajo (Kajo Park)" ที่คนจะนิยมมานั่งปิคนิคกันช่วงดอกซากุระบาน แต่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีก็ได้รับความนิยมและสวยไม่แพ้กัน เดินมาจากสถานียามากาตะเพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้ว สวนสาธารณะ Kajo เป็นส่วนสาธารณะที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น ในอดีตสวนนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทยามากาตะซึ่งในแต่ละฤดูจะสวยงามแตกต่างกันออกไป "Ginzan Onsen" เมืองน้ำพุร้อนที่เงียบสงบในจังหวัดยามากาตะ มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นว่าเป็นเมืองออนเซ็นที่งดงามที่สุด เสน่ห์ของเมืองออนเซ็นแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลาสสิกของเรียวกังที่เก่าแก่และนักท่องเที่ยวที่แต่งกายใส่ยูกาตะราวกับว่าย้อนยุคไปในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ที่นี่เป็นหมู่บ้านออนเซ็นกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในเมืองโอบานาซาวะ(Obanazawa) เป็นหมู่บ้านเรียวกังที่คงความคลาสสิกเอาไว้ และมีคลองเล็กๆ ไหลอยู่กลางหมู่บ้าน ในอดีตตรงหมู่บ้านเคยเป็นเหมืองเงินขนาดใหญ่ เรียวกังแบบไม้สไตล์ตะวันตกจึงเริ่มมาสร้างเมื่อปลายยุคไทโชถึงยุคโชวะ ซึ่งในยุคโชวะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งแช่ออนเซ็นที่มีชื่อเสียง เดินชมความงามรอบหมู่บ้านจนอิ่มหนำก็เข้ามาหลบความหนาวสัมผัสไออุ่นกันที่คาเฟ่เล็กๆ น่ารักอย่าง "ร้าน Crie"  "Yaki Coco" เมนูไฮไลท์ของร้าน ยิ่งเดินมาหนาวๆ มาดื่มโกโก้ร้อนๆ คู่กับมาร์ชแมลโลว์ย่าง ช่วยให้อุ่นขึ้นได้เยอะอีกหนึ่งร้านห้ามพลาดสำหรับสายแกงกะหรี่ "Haikarasan's Currybread" ร้านขนมปังแกงกะหรี่ที่สามารถเดินทานได้เลย แป้งกรอบๆ หวานๆ ไส้ด้านในเป็นแกงกะหรี่รสชาติกำลังดี มาในราคาชิ้นละ 230 เยนเดินมาถึงท้ายหมู่บ้านจะมี "น้ำตกชิโรกาเนะ (Shirohige)" และด้านในน้ำตกเคยเป็นประตูทางเข้าเหมืองเงินอีกด้วย และอีกหนึ่งเสน่ห์ของที่นี่คือการแช่ออนเซ็น ที่นี่มีทั้งออนเซ็นแบบส่วนตัวและออนเซ็นแบบสาธารณะ ซึ่งออนเซ็นสาธารณะจะเป็นเหมือนการสปาเท้าระหว่างการแช่ออนเซ็นหรือเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านสามารถซื้อเต้าหู้อร่อยๆ มาทานแก้หนาวกันได้จากที่ร้าน "Nagawa Tofu" เป็นเต้าหู้เก่าแก่กว่า 100 ปีแล้วสรุป 4 อย่างห้ามพลาดเมื่อมาที่ "กินซันออนเซ็น(Ginzan Onsen)" คือ1. สวมชุดยูกาตะเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้าน2. เที่ยวน้ำตก3. พักค้างคืนที่เรียวกัง4. แช่ออนเซ็น พร้อมจิบเครื่องดื่มร้อนๆ

  • ฤดูเปลี่ยนสีที่ ยามากาตะ

    เปรี้ยวปากขอพาทุกคนมาชมความสวยงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูมิภาคโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น วันนี้จะพาไปตะลุยสัมผัสความงดงามของ จังหวัดยามากาตะ สีสันของใบไม้เปลี่ยนสี ฟาร์มผลไม้อันเลื่องชื่อ และแช่ออนเซ็นกลางธรรมชาติ ก่อนตะลุยขึ้นบันไดไปที่วัดยามาเดระไปขอพรพระสังกัจจายน์กันที่ คอนปอนชูโด(Konponchudo) อาคารไม้บีชเก่าแก่ สร้างขึ้นปี ค.ศ.1356 เป็นห้องรวบรวมพระพุทธรูป ห้องสมบัติเล็กๆ และยังมีประดิษฐานรูปแกะสลักไม้พระสังกัจจายน์ที่คนนิยมมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ บริเวณด้านหน้ามีเชือกให้แกว่งคล้ายกับวัดญี่ปุ่นทั่วไป กล่องไม้ด้านหน้าก็เป็นที่โยนเหรียญเพื่อทำบุญ วิธีการขอพรคือให้โยนเหรียญในกล่อง โค้ง 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง แล้วค่อยทำการขอพร จากนั้นให้โค้งปิดท้ายอีกครั้ง ทางเชื่อมนำไปสู่อาคารต่อไปอยู่บริเวณเสาโทริอิหินขนาดใหญ่ ข้างเสาหินนี้มีต้นเมเปิ้ลลขนาดใหญ่ เดินผ่านอุโมงค์เมเปิ้ลสั้นๆ แล้วจะเจอลานกว้าง โดยทางขึ้นจะอยู่ที่บริเวณต้นเมเปิ้ลสีแดงสด สามารถซื้อบัตรทางขึ้นเขาได้ที่จุดนี้ สำหรับผู้ใหญ่ราคา 300 เยน นักเรียนมัธยมต้น 200 เยน เด็กอายุ 4 ขวบขึ้นไป 100 เยน ถึงเวลามาตะลุยบันได 1,000 ขั้นไปที่ "วัดยามาเดระ(Yamadera) หรือ วัดริชชะคุจิ" ที่อยู่บนภูเขาเป็นวัดของนิกายเทนได สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 860 ระหว่างทางขึ้นมีทั้งพระพุทธรูปหิน ป้ายสลักที่คล้ายกับเป็นการพิมพ์ลงไปในหินของภูเขา เริ่มให้ความรู้สึกว่าคล้ายกับวัดเก่าแก่ของจีนที่มักมีการสลัดสิ่งต่างๆ ไว้ตามหิน นอกจากป้ายสลักหินแล้วยังมีรูปสลักซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ เดินขึ้นมาจนถึงวัดยามาเดระก็มาชมวิวสวยๆ กันที่ จุดชมวิววิหารโกไกโด(Godaido) ที่มีอายุเก่าแก่ราว 1,000 ปี เป็นศาลาไม้ยื่นออกไปจากหน้าผา สามารถมองเห็นเมืองยามาเดระที่มีภูเขาโอบล้อม ถือเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของวัดยามาเดระเลยละ การเดินทางก็ไม่ยากเพียง 10 นาทีจากสถานีรถไฟยามาเดระ หลังจากที่เดินกันมาทั้งวันขอพาทุกคนมาเติมพลังที่ร้าน "ฟุโมโตยะ(Fumotoya)" ร้านโซบะขึ้นชื่อในท้องถิ่น เปิดมากกว่า 80 ปีแล้ว ที่นี่จะเด่นเรื่องเส้นโซบะ มาถึงยามางาตะทั้งทีไม่ทานโซบะคงเหมือนมาไม่ถึง "Ika Tendon" ชุดเซ็ทโซบะกับข้าวหน้าปลาหมึกเทมปุระ "Ita Soba" เมนูโซบะเย็นที่เส้นโซบะจะเป็นสไตล์ยามากาตะเสิร์ฟมาในถาดไม้ ก่อนจะเข้าไปยัง "ซาโอ ออนเซ็น(Zao Onsen Dai Rotenburo)" ต้องแวะเก็บภาพสวยๆ รอบบึงที่ "ชิกิโน ยาชินูมะ(Shigino Yachinuma)" เป็นบึงที่มีทางเดินรอบๆ สามารถเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีรอบบึงได้เลย "ซาโอ ออนเซ็น(Zao Onsen Dai Rotenburo)" เป็นออนเซ็นกลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติในหุบเขา ค่าบริการออนเซ็น ผู้ใหญ่ 550 เยน เด็กไม่เกิน 12 ปี 300 เยน ที่จังหวัดยามากาตะขึ้นชื่อเรื่องแหล่งออนเซ็นที่มีออนเซ็นมากถึง 20,000 แห่งเลย แต่ที่เมืองซาโอค้นพบน้ำพุร้อนเมื่อปี 110 ก่อนคริสต์ศักราช มีชื่อเสียงในความเก่าแก่และเป็น 1 ใน 3 ของน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น อีกหนึ่งเสน่ห์ในฤดูที่เปลี่ยนสีของจังหวัดยามางาตะ คือการเที่ยวชม ชิมฟาร์มผลไม้ เรียกว่าเป็นแหล่งผลิตเชอรี่ที่ขึ้นชื่ออันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น เปรี้ยวปากจะพาไปจัดเต็มบุปเฟ่ต์ไม่อั้นกันที่ “โอโช ฟาร์ม(Ohsyo Fruits Farm)” “โอโช ฟาร์ม(Ohsyo Fruits Farm)” เป็นฟาร์มผลไม้ยอดนิยมที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดยามากาตะ เชอรี่ที่นี่โด่งดังในเรื่องรสชาติและคุณภาพ แต่เรามาช้าไปนิดนึงฤดูเชอรี่หมดไปจึงขอบุกเก็บแอปเปิ้ลแทนละกัน ฤดูกาลของ Cherry - pick ตั้งแต่เดือน พ.ค. - ก.ค. ของทุกปี ฤดูกาลของ Apple - pick ตั้งแต่เดือน ต.ค. - พ.ย. ของทุกปี สายพันธุ์ของแอปเปิ้ลที่สวนนี้คือ "Wasefuji" มีทั้งลูกสีแดงสดและเขียว และ "Fuji" คือพันธุ์ยอดนิยมระดับโลกที่มีอัตราการปลูกมากกว่าครึ่งหนึ่งของแอปเปิ้ลที่ปลูกในญี่ปุ่น โดยรสชาติจะหวานอมเปรี้ยวลงตัว มีรสสัมผัสกรอบอร่อย นอกจากนี้ก็ยังฉ่ำน้ำและเนื้อแน่นเต็มอิ่ม นอกจากนี้ยังมีองุ่นอีกด้วย ที่ฟาร์มมีทั้งหมด 2 สายพันธุ์ คือ องุ่นเขียว และ องุ่นแดง ทีเด็ดของฟาร์มนี้อยู่ที่เดินกินไม่อั้นเต็มๆ 30 นาที แอปเปิ้ล คนละ 660 เยน องุ่น คนละ 770 เยน ฟาร์มเปิดให้เข้า ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค. - กลางเดือน พ.ย. จะมีผลไม้หมุนเวียนให้เก็บตลอดทั้้งเชอรี่ พีช องุ่น และแอปเปิ้ล ฟาร์มที่นี่ครบวงจรเลยทั้งฟาร์มผลไม้ให้เที่ยวชม ชิม มีจุดขายของที่ระลึก และก็มีคาเฟ่อย่าง "โอโช คาเฟ่(Oh Show Cafe)" ก็สามารถมานั่งทานกาแฟ ทานขนมกันที่นี่ได้ "ซอฟต์ครีม ฟาร์เฟ่ต์ผลไม้(ถ้วยละ 800 เยน)" สวนผลไม้ "โอโช คาเฟ่(Oh Show Cafe)" ห่างจากสถานีเทนโดประมาณ 20 นาที

  • Cow Cow Kitchen by Tokyo Milk Cheese Factory

    ใครอยากทานนมและชีสต้องมาลองกันที่ "Cow Cow Kitchen by Tokyo Milk Cheese Factory" แบรนด์เบเกอรี่ในเครือเดียวกันกับ Tokyo Milk Cheese Factory จากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยจะเน้นคัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยมจากทั่วทุกมุมโลกมาเป็นส่วนประกอบในการทำขนม และมีวัตถุดิบหลักเป็นนมจากฮอกไกโด และมาสคาร์โพนชีสจากอิตาลีการตกแต่งร้านจะให้เป็นเหมือนครัวที่หอมกรุ่นไปด้วยขนมอบสดใหม่ในทุกวันและทางร้านการันตีเลยว่าอร่อยเหมือนบินไปทานที่ญี่ปุ่น เมนูแต่ละอย่างก็เด็ดๆ ทั้งนั้นเลย"Cow Cow Ice" ไอศกรีมรสนม แบบถ้วย 145 บาท, แบบโคน 155 บาท และไอศกรีมรสชีส/มิกซ์ แบบถ้วย 155 บาท, แบบโคน 165 บาท"Milk Cheese Cookie" (10 ชิ้น 490 บาท, 20 ชิ้น 850 บาท) มีให้เลือกุถึง 3 รส Salt and Camembert, Honey and Gorgonzola และ Chocolat & Mascarpone"Milk Cheese Pie" รสนมและช็อกโกแลต 85 บาท, รสสตรอว์เบอร์รี่ 95 บาท"Hojicha Wipped Cheese Boba"ใครชอบทานนมและชีสอย่าลืมมาลองกันที่ร้าน "Cow Cow Kitchen by Tokyo Milk Cheese Factory" สยามพารากอน ชั้น G เปิดตั้งแต่เวลา 09.30-22.30 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร. 06-2796-1839

Follow us on INSTAGRAM